วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ลิงกระรอก(ลิงกระรอกปากดำ)

                            
ลิงกระรอก(ลิงกระรอกปากดำ)




Squirrel Monkey(Common Squirrel Monkey) 

ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Saimiri sciurea 






ลักษณะทั่วไป

เป็นลิงขนาดเล็กขนาดพอ ๆ กับตัวทามาริน (TAMARINS) ขนาดของลำตัววัดจากหัวจรดโคนหางยาวประมาณ 12 นิ้ว หรือ 1 ฟุต หางมีความยาวมากกว่าลำตัว หางยาวประมาณ 16 นิ้ว หนังบริเวณรอบจมูกและปากเป็นวงสีดำ ใบหน้าเป็นสีชมพูหรือสีเนื้อ มองเผิน ๆ เหมือนกับสวมหน้ากากอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลดำ ขนตามลำตัวยาวไม่มากนัก มีสีน้ำตาลแซมด้วยสีเทาเหมือนสีของกระรอก บริเวณศีรษะจะมีขนสีดำขึ้นแซมอยู่ทั่วไป ขนบริเวณใต้อกลงไปถึงใต้หางจะมีสีเหลืองนวล ส่วนขนบริเวณแขนและขามีสีเหลืองส้ม แลดูเด่นสะดุดตามาก ปลายหางมีขนสีดำ ลักษณะหางคล้ายหางของกระรอก มีนิ้วมือ นิ้วเท้าข้างละ 5 นิ้ว ลักษณะคล้ายกับนิ้วมือคน แต่จะยาวกว่า เมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม นับว่าเป็นลิงที่ตัวเล็กและน้ำหนักเบามาก ความแตกต่างระหว่างตัวผู้และตัวเมียนอกเหนือจากการสังเกตที่อวัยวะเพศแล้ว ยังสามารถสังเกตได้จากขนาดของมัน คือตัวผู้จะโตกว่า และมีหัวที่ใหญ่กว่าของตัวเมีย และเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะมีสีสันที่สดใสกว่าตัวเมีย 


ถิ่นอาศัย, อาหาร

พบในทวีปอเมริกาใต้ 

กินผลไม้ ดอกไม้บางชนิด ลูกนก จิ้งจก ไข่นก กบ และแมลงต่าง ๆ 

พฤติกรรม, การสืบพันธุ์

ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยฝูงหนึ่ง ๆ จะอยู่รวมกันประมาณ 20 - 30 ตัว ชอบกระโดดโลดเต้นไปมา เวลากระโดดมันจะกระโดดไปพร้อม ๆกันทั้ง 4 ขา เหมือนกับการกระโดดลอยตัวของกระรอก ดังนั้นเวลามองจากที่ไกล ๆ จะเหมือนกับกระรอกมาก การเคลื่อนที่โดยมากจะใช้วิธีกระโดดจากยอดไม้หนึ่งไปยังอีกยอดหนึ่ง ไม่ค่อยชอบเดินบนพื้นดิน เวลานอน ชอบนอนบนต้นไม้สูง ๆ นอนบนคาคบไม้ จะไม่ลงมานอนบนพื้นดินหรือในซอกโพรง มีนิสัยไม่ดุร้าย รักความสงบไม่ก้าวร้าว จึงไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ทั้งกับฝูงของตน หรือกับฝูงอื่น สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ค่อนข้างดี จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาในการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย 

ลิงกระรอกผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตั้งท้องนาน 6 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว อายุยืนราว 20 ปี 

สถานภาพปัจจุบัน

สถานที่ชม

สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา 

วาฬบรูด้าในไทย





                    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วาฬบรูด้า

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า พื้นที่อ่าวไทยพบว่าเป็นแหล่งอาศัยและศึกษาเกี่ยวกับวาฬบรูดาแหล่งใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย โดยถือว่าเป็นสัตว์ประจำถิ่นอ่าวไทยไปแล้ว เมื่อพบจำนวนประชากร 2-20 ตัว ขนาดที่แตกต่างกันในแต่ละวัน ซึ่งประเมินว่ามีจำนวนประชากรราว 35 ตัว และทำการจำแนกอัตลักษณ์ได้แล้วกว่า 30 ตัว พร้อมกับมีการตั้งชื่อให้ด้วย[3] โดยเมื่อสำรวจพบวาฬ จะมีการจำแนกอัตลักษณ์ของวาฬแต่ละตัวด้วยวิธีการถ่ายภาพ (Photo-ID) ศึกษาตำหนิบริเวณครีบหลังเป็นจุดหลัก และใช้ตำหนิรอง เช่น ตำหนิตามลำตัว หัว ปาก ซี่กรอง และหาง มาประกอบ[4]
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 พบฝูงวาฬบรูด้า ในบริเวณที่ห่างจากปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพียงแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น และมีการสำรวจพบมากขึ้น โดยอาหารสำคัญของวาฬฝูงนี้ก็คือ ปลากะตัก[5] และพบด้วยว่าวาฬบรูด้าที่อาศัยอยู่บริเวณอ่าวไทยนี้มีขนาดเล็กกว่าวาฬบรูด้าที่พบที่อื่นทั่วโลก จึงเป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์ชาวต่างชาติมาก และสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นวาฬชนิดใหม่ ที่กำลังจะมีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้เป็นชนิดใหม่ด้วย[2]
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2556 พบฝูงวาฬบรูด้าประมาณ 40 ตัว อยู่ใกล้พื้นที่กรุงเทพมหานครมากที่สุด โดยพบหาอาหารกินที่ทะเลบางขุนเทียน และจากการเฝ้าศึกษาพบว่าเป็นสัตว์ประจำถิ่นของอ่าวไทยด้วย

เเมว



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เเมว วิกิพีเดีย

แมว (ชื่อวิทยาศาสตร์Felis catus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในตระกูล Felidae ต้นตระกูลมาจากเสือไซบีเรีย (Felis tigris altaica) ซึ่งมีช่วงลำตัวตั้งแต่จมูกถึงปลายหางยาวประมาณ 4 เมตร แมวที่เลี้ยงตามบ้าน จะมีรูปร่างขนาดเล็ก ขนาดลำตัวยาว ช่วงขาสั้นและจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทสัตว์กินเนื้อ มีเขี้ยวและเล็บแหลมคมสามารถหดซ่อนเล็บได้เช่นเดียวกับเสือ สืบสายเลือดมาจากแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งลักษณะบางอย่างของแมวยังคงพบเห็นได้ในแมวบ้านปัจจุบัน
แมวเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อน [5] ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวที่พบในสมัยอียิปต์โบราณ หรือในพิพิธภัณฑ์อังกฤษในกรุงลอนดอน มีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากพีระมิดโบราณแห่งอียิปต์ ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว ซึ่งเมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้นมีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าแมวอะบิสซิเนีย

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กระต่าย


กระต่าย (อังกฤษRabbit) เป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับกระต่าย (Lagomorpha) ในวงศ์ Leporidae
กระต่ายแม้จะมีฟันแทะเหมือนกับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) แต่ถูกจัดออกมาเป็นอันดับต่างหาก เนื่องมีจำนวนฟันที่ไม่เท่ากัน เพราะกระต่ายมีฟันแทะที่ขากรรไกรบน 2 แถว เรียงซ้อนกันแถวละ 2 ซี่ ฟันกรามบนข้างละ 6 ซี่ และฟันกรามล่างข้างละ 5 ซี่ เมื่อเวลาเคี้ยวอาหาร กระต่ายจะใช้ฟันทั้ง 2 ด้านเคี้ยวสลับกันไป ต่างจากสัตว์ฟันแทะโดยทั่วไปที่เคี้ยวเคลื่อนหน้าเคลื่อนหลัง ซึ่งสามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า 
กระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก มีขนปุกปุยทั่วลำตัว มีหางกลมสั้น มีใบหูยาวเมื่อเทียบกับสัตว์อื่น ซึ่งวิวัฒนาการมาใช้สำหรับฟังเสียงได้เป็นอย่างดี และยังมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีมาก กระต่ายมีขาหน้าที่มี 5 นิ้ว ขาหลังมี 4 นิ้ว มีสะโพกที่ยาวและทรงพลัง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ จึงสามารถกระโดดได้เป็นอย่างดี เคยมีการประกวดการกระโดดของกระต่ายที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ กระต่ายตัวที่กระโดดได้สูงที่สุดกระโดดได้สูงถึง 99.5 เซนติเมตรเลยทีเดียว[1] ใต้ฝ่าตีนของกระต่ายมีขนนุ่ม ๆ รองรับอยู่ เพื่อมิให้เกิดเสียงเมื่อเคลื่อนไหว กระต่ายเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่ายและมีความว่องไวปราดเปรียวมากในการระแวดระวังภัย นอกจากนี้แล้วตาของกระต่ายยังมีหนังตาหรือเปลือกตาถึง 3 ชั้นด้วยกัน[2] ดวงตาของกระต่ายมีลักษณะกลมโต ทำให้กระต่ายสามารถเหลือบมองภาพด้านหลังได้โดยที่ไม่ต้องหันหัวเลย กระต่ายจัดเป็นสัตว์ที่มีระบบการมองเห็นที่ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ มาก แต่กระต่ายสามารถมองเห็นสีได้เพียงแค่ 2 สีเท่านั้น คือ สีเขียวและสีน้ำเงิน และจะยิ่งมองได้ชัดเจนขึ้นเมื่ออยู่ในที่มืด